วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 05, 2560

บันทึกนักโทษคดีการเมือง เมื่อรัฐประหาร ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗

เราไม่ทราบว่าเขาเป็นใคร เราไม่เคยรู้เบาะแสของเขามาก่อน เพราะผู้เขียน บันทึกนักโทษคดีการเมือง นี้อ้างว่าส่งออกมาจากในคุก

โดยได้รับความช่วยเหลือจากสหายร่วมคุกนามว่า โชติช่วง ผู้ซึ่งก่อนติดคุก “โดนทหารซ้อมมาปางตาย” ด้วยข้อหาที่ “สื่อประโคมข่าว” ว่าเป็นเสื้อแดงก่อการร้ายที่ยิงระเบิด เอ็ม ๗๙ ใส่ม็อบ กปปส.

“โชติช่วงนั้นพิการที่ขาข้างหนึ่ง ต้องใส่ขาปลอมไว้ตั้งแต่ช่วงเข่าลงไป เวลาเดินก็จะกระเผลก แต่เขายืนหยัดทะนง...และอาศัยเหตุดังว่านี้ เขาเลยได้ช่วยนำสารของผมออกมาสู่โลกภายนอกได้สำเร็จ”

ผู้เขียนเล่าด้วยว่า “โชติบอกว่าที่ขาของเขาขาดข้างหนึ่งต้องใส่ขาปลอมนี่แหละมีประโยชน์ เพราะระหว่างเข่าของเขากับขาปลอมที่เอามาต่อกับขาจริง ช่วงเข่่ามันพอมีที่ว่างสำหรับกระดาษซักแผ่น...

พรุ่งนี้จดหมายของพี่ถึงมือเป้าหมายแน่นอน” มันจึงมาโผล่บนหน้าเฟชบุ๊คชื่อบัญชี ศมศักดิ์ ภักดิเดช

ท่านที่คุ้นๆ อย่าเพิ่งตื่นเต้น จะเป็นศมศักดิ์ ภักดิเดช สมศักดิ์ ภักดีเดช ณ อยุธยา หรือว่าโสมสัก พักดีเดจ ณ จัมปาสัก ล้วนแต่คือนามปากกาของนักเขียน-นักหนังสือพิมพ์ คนใดคนหนึ่ง อาจเป็นเพราะชื่อนี้มีเสน่ห์ เลยมีคนชอบใช้หลายราย รวมทั้งศูนย์ไซเบอร์กองทัพบกที่ได้เข้าครอบครองบัญชี สมศักดิ์ ภักดีเดช มานานแล้วไม่ได้ทำกิจกรรมอะไร ไม่รู้จะเปิดเอามาใช้ใหม่อีกไหม เมื่อไหร่

บันทึกทั้งหมด คนโพสต์บอกว่ามี ๑๙ ตอน โพสต์ครั้งแรกเมื่อ ๒๘ มีนา ๕๙ อ้างว่า “ถูกศาลทหารตัดสินคดี ม. ๑๑๒ เป็นรายแรก นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ศาลนี้เคยพิจารณาคดี ม. ๑๑๒ เกือบ ๓๐ ปีมาแล้วในเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙”

แล้วมาโพสต์ครั้งที่สองห่างกันเกือบสองปี เมื่อ October 2 at 10:27am เล่าถึงบันทึกฯ ตอนที่ ๑ เกี่ยวกับ โชติ ผู้นำต้นฉบับออกจากคุก

“โชติช่วงกับพวกถูกศาลตัดสินประหารชีวิตในเวลาต่อมา และลดหย่อนให้เหลือจำคุกตลอดชีวิต โดยบรรเทาโทษจากเหตุที่เขาได้เซ็นสารภาพต่อ ผู้ช่วยเจ้าพนักงานสอบสวน...

ตอนนี้เขากับพวกถูกจองจำอยู่ที่เรือนจำบางขวาง”

แต่ครั้งนี้เราขอนำโพสต์ล่าสุด ตอนที่สอง มาให้อ่านกันก่อน เพื่อสัมผัสกับเรื่องราวที่เราไม่สามารถตอบได้ว่าจริงแท้แค่ไหน หากทว่าเนื้อความสร้างความตื่นรู้ต่อรายละเอียดที่ผู้เขียนนำมาเรียงร้อยเป็นเรื่องเล่า แม้นว่าเป็นนิยายก็น่าจะขายดีอยู่มากทีเดียว


บันทึกนักโทษคดีการเมือง ตอนที่ 2 :จากกองบัญชาการคณะรัฐประหารถึงคุกลับ

มันเป็นเวลาบ่ายสามโมงของวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม 2557 ให้หลังรัฐประหาร 3 วันของคสช. ทีวีไม่มีอะไรให้ดู นอกจากเพลงปลุกใจวนไปเวียนมา สลับกับการประกาศสั่งให้คนนั้นคนนี้ไปรายงานตัว น่าเบื่อหน่าย

ผมเลยเอา VCD หนังซีรีส์สามก๊กมาเปิดดูแก้เบื่อ ดูไปถึงตอนที่จิวยี่กำลังโรมรันกับขงเบ้งชนิดถึงพริกถึงขิง ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญบุกเข้ามาในบ้านถึงห้องนอนผม เป็นทหารใส่ชุดสนามเต็มพิกัด มาพร้อมทั้งอาวุธเอ็ม 16 อาวุธสั้น ปราดเข้ามาถึงห้องนอนตอนสามก๊กกำลังสนุกได้ที่

"ขอผมดูตอนนี้จบก่อนนะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน" ผมว่า แต่หัวหน้าชุดยศร้อยโทนี่ไม่รับมุขเลย เขาดูเคร่งเครียดจริงจังกับภารกิจมาก เล็งเอ็ม 16 จ่อมาที่ผม กระชากลูกเลื่อนดังลั่น และลูกมือเขาก็ประกบหน้าล้อมหลังวุ่นวายไปหมด

"โอเคผมขอเปลี่ยนกางเกงหน่อย ใส่ชุดนอนไปมันน่าเกลียด ผมขอเตรียมเสื้อผ่าไปด้วยนะ สำหรับ 7 วัน หรือสำหรับ ปี? คุณว่า..." ไม่มีคำตอบ เขาพูดออกมาแค่ว่า รู้ใช่มั้ยว่าทำไมถึงมาเอาตัว? ผมว่า รู้ ตอนแรกนึกว่าจะเป็นวันแรกที่เกิดรัฐประหาร 22 พฤษภาคม ก็เลยแปลกใจที่เป็นวันนี้

ทหารมา 2 คันรถ กับตำรวจอีกคันหนึ่ง จนเมียผมต้องเปรยออกมาดังๆ ให้พวกเขาได้ยินว่า "อะโห ทำอย่างกับมาจับผู้ร้ายฆ่าคน"...ตำรวจทำหนังสือขอตรวจค้นที่พิมพ์กันขึ้นตอนนั้นว่า ผมกระทำผิดกฎหมายของคณะรัฐประหาร โดยมีอุปกรณ์ในการกระทำผิดเพียบ คือเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แล้วก็โน้ตบุ๊ค เครื่อง IPAD ราวๆ 100 เครื่อง โทรศัพท์มือถืออีก 15 เครื่อง

...แต่นั่นมันจะเยอะไปหน่อย ผมเลยขอช่วยทางราชการด้วยการบอกว่า จริงๆ แล้วเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เห็นๆ กันอยู๋นี่ผมใช้แค่ 2 เครื่อง มือถือ 2 เครื่อง เอาไปแค่นั้นแหละ ถ้าเอาไปหมดนี่ตายพอดี พวกคุณทำงานยากหละ ไม่รู้ว่าอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำผิดนี่เครื่องไหน...พันตำรวจเอก หัวหน้าชุดตำรวจที่มาจากสน.ละแวกบ้านผม ขอบอกขอบใจผมยกใหญ่ที่ช่วยงานราชการให้สบายขึ้น

ตำรวจเอาพลาสติกมาซีลเครื่องโน้ตบุ๊คที่ว่า กับมือถือไปเป็นอันเสร็จเรื่อง แล้วส่งผมให้ "ผู้ช่วยพนักงานสอบสวน" คือทหาร โดยพาขึ้นรถตู้ไป มีพวกนายสิบกับพลทหารในชุดสนามอาวุธครบมือ 6 นายประกบหน้าหลัง ไม่พูดไม่คุยไม่ส่งเสียง และผมก็ไม่อยากถามว่าจะพาไปไหน...?

แต่พอออกจากปากซอยไปที่ถนนใหญ่ก็พบว่ามีรถสิบล้อทหารจอดอยู่คันหนึ่ง มีทหารอยู่ในรถเพียบ พอขับไปอีกซักระยะก่อนขึ้นทางต่างระดับก็มีอีกคันหนึ่งจอดอยู่ คงแนวๆ ว่ามารักษาการณ์ หรือเป็นชุดเสริม...เกิดว่าผมฮึดฮัดต่อสู้ หรือมีคนมาช่วยชิงตัว พวกทหาร 2 คันสิบล้อนี่จะได้ลุยกันเปรี้ยงปร้าง...โถ !รอบคอบกันมากเลยภารกิจนี้

โดยที่ไม่มีสุ้มเสียงอะไร รถตู้ของทหารก็พาผมลงทางด่วนยมราช มุ่งหน้าไปเทเวศร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งหอประชุมกองทัพบก อันเป็นกองบัญชาการของ คสช. 

ที่นั่นมีคนที่ถูกพาตัวมาในเวลาไล่เลี่ยกับผม 3 ชุด ให้นั่งแยกกัน ผมมาทราบภายหลังว่าชุดแรก 3 คนนี่เป็นภรรยา ลูกสาว ลูกชายของคุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข ซึ่งโดนจำคุกอยู่ในเวลานั้น อีก 2 ชุดเป็นคนทำสื่อออนไลน์ทางอินเตอร์เน็ต ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการถ่ายทอดสดการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง 2 เว็บไซต์

จากนั้นมีการเรียกตัวแต่ละชุดไปคุยกับคนที่ดูแลกรณีของพวกเรา คือพลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา เขาเป็นหนึ่งในบิ๊กคสช. ที่เข้ามากำกับควบคุมว่าจะกวาดล้างใครบ้างที่เป็นปฏิปักษ์ต่อคณะรัฐประหาร และคนที่คณะรัฐประหารเห็นว่าต้องขจัด

ผมไม่รู้ว่าเขาสอบปากคำซักถามคนอื่นอย่างไร แต่กับผมเขาให้เกียรติด้วยดี เรียกผมด้วยความเคารพ และบอกว่าเป็นแฟนคลับของผมมายาวนาน ติดตามผลงานจนเป็นแฟนพันธุ์แท้ โดยเขายกตัวอย่างผลงานต่างๆ มา ทำให้ผมแน่ใจว่าเขาเป็นแฟนตัวจริง

"ท่านเป็นนักรบไซเบอร์ที่ทางเราหวาดหวั่นครั่นคร้าม จริงจังทุ่มเท ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงใดๆ ข้อมูลต่างๆ แน่นปึ้ก ที่ไปที่มาชัดเจน ไม่มโน..." แต่พลเอกไพบูลย์จบลงที่คำว่า "แต่...ทำไมต้องมาเฉียดไปวนมากับสถาบันเบื้องสูง ผมยอมไม่ได้เด็ดขาด จึงต้องจัดการท่าน" เขากล่าวสรุป

ผมอธิบายให้เขาฟังอยู่ประมาณหนึ่ง แต่บรรดาลูกทีมของเขา พวกนายพลหน่วยข่าวและตำรวจคอยขัดคออยู่เป็นระยะ แล้วก็นำแฟ้มประวัติของผมที่หน่วยข่าวสะกดตามทุกฝีก้าว มานำเสนอต่อพลเอกไพบูลย์ว่าผมนั้นร้ายกาจแค่ไหน และชักจูงให้เห็นด้วยว่าผมน่าจะเป็นพวกฝ่ายซ้าย นิยมเลื่อมใสลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วย เนื่องจากว่าผมเคยใช้นามปากกาว่า ปีกซ้าย เขียนบทกวีประณามเผด็จการ....ผมว่าโรนัลโด้ก็ปีกซ้ายนะ และมันก็ไม่ได้เป็นคอมฯ ซักหน่อย...พลเอกไพบูลย์เลยว่า ท่านนี่อารมณ์ขันใช้ได้ ไม่เครียดเลยเหรอ

ผมเลยว่า ผมรู้ดีครับว่าวันใดวันหนึ่งที่เกิดรัฐประหารขึ้นผมคงโดนแน่ๆ ผมเตรียมใจเตรียมตัวมานานแล้ว ขอแค่ให้ทำตามข้อกฎหมายกันหน่อย อย่านอกเกมก็พอ

พลเอกไพบูลย์ว่า แน่นอนเขาทำตามระเบียบกฎหมาย เบื้องต้นก็คือพาไปที่ จัดไว้ให้เป็นเวลา 7 วันก่อน

จากนั้นรถตู้คันเก่าก็พาออกจากหอประชุมกองทัพบก โดยมีคนร่วมคณะไป 3 ราย นอกจากผมแล้วก็มีอีกหนึ่งหนุ่มที่เป็นคนทำเวปไซต์ถ่ายทอดสด และอีกหนึ่งสาวที่ทำอีกเวปไซต์สำหรับการถ่ายทอดสด..ส่วนครอบครัวของสมยศถูกปล่อยตัวกลับบ้านไป

นั่นคือเครื่องหมายสำคัญว่า คณะรัฐประหารกำลังเข้าโหมดขจัดสื่อที่ต่อต้านการรัฐประหาร และปิดกระบอกเสียงฝ่ายปฏิปักษ์ลงอย่างเด็ดขาด

รถตู้คันนั้นออกเดินทางไป โดยไม่ยอมตอบคำถามใดๆ ของสาวร่วมคณะของเราว่าจะพาไปไหน? แต่ไม่นานก็ไปที่ค่ายทหารแห่งหนึ่ง ไม่ห่างจากที่เรามา พาลงไปให้ข้าวผัดกันคนละห่อ หนุ่มที่ไปด้วยบอกว่ากินไม่ลง...ทหารบอกว่าจะต้องเดินทางต่ออีกนาน ปลายทางก็ไม่แน่ใจมีอะไรให้กินไหมนะ...ก็เลยต้องกินมื้อเย็นนั้น

เรียบร้อยก็ให้เราไปยืนชิดกำแพง ให้ทหารถ่ายรูป ทำให้สาวร่วมคณะอุทธรณ์ว่า "โหย ทำยังกับผู้ร้ายฆ่าคนเลยนะ"...จากนั้นพาเราขึ้นรถบรรทุกสำหรับขนนักโทษสีลายพรางดำ เข้าไปข้างในมองออกมาข้างนอกแทบจะไม่เห็นอะไร

รถบรรทุกคันนั้นพาเราออกจากค่ายทหารกรุงเทพฯ 3 ทุ่มเศษ ถนนโล่งโปร่งจากการประกาศเคอร์ฟิวหลังสามทุ่ม ส่วนจะพาไปทางไหน ไม่มีคำตอบเช่นเคย แต่ทหารที่มาควบคุมเรานี้เป็นชุดใหม่แล้ว

ด้วยความมืดมิดทำให้มองออกมาข้างนอกไม่รู้ว่าพิกัดไหนหรือไปทางไหน รู้แต่ว่าคงผ่านไปนานพอสมควร แต่ก็ไม่น่าจะนานถึงขั้นไปถึงกาญจนบุรี (ในใจผมนั้นคิดว่าน่าจะไปกาญจนบุรี เพราะช่วงรัฐประหาร 22พฤษภาคม มีการควบคุมพวกแกนนำเสื้อแดง นปช.ไปกาญจนบุรี) แล้วรถก็เลี้ยวลงข้างทางเข้าไปในทางแคบๆ ถนนดูขรุขระ...ผมอดเสียววาบไม่ได้ว่าพวกนี้อาจเล่นไม่ซื่อ แวะข้างทางแล้วสังหารทิ้งซะ

แต่ทุกอย่างอยู่ในเกม ไม่นานรถบรรทุกก็หยุดลง พวกเราลงไป มองไปเจอกำแพงสูง มีป้อมตรวจการณ์..ครับ มันคือคุกทหาร แต่เราก็ไม่รู้ว่าพิกัดนี้ตั้งอยู่ที่ไหน เพราะไม่มีป้าย หรือสัญลักษณ์ไหนที่ชี้ว่าพิกัดนี้อยู่ส่วนไหนของประเทศ

ผู้บัญชาการเรือนจำเป็นนายทหารยศพันตรี ท่าทีเป็นมิตร จำแนกให้สาวร่วมคณะที่กำลังขวัญเสียไปขังอยู่ห้องหนึ่ง ส่วนผมกับหนุ่มเจ้าของเวปไซต์ไปขังรวมกันสองคน ในห้องขังกว้างพอที่จะมีพื้นที่ให้ผมออกกำลังกายเดินเล่นเอาเหงื่อได้
.
รุ่งเช้าหลังจากได้ข้าวต้ม และกาแฟไปแล้ว มีเสียงเรียกจากห้องข้างๆ ว่าเป็นใครมายังไง พร้อมกับยื่นมือข้ามกรงขังตรงประตูโผล่มาจับมือทักทาย โดยไม่ได้เห็นหน้า เขาแนะนำตัวว่าเป็นหมอเหวง โตจิราการ ที่ถูกจับกุมตอนทหารเข้าสลายการชุมนุมของนปช.เสื้อแดง ที่ถนนอักษะ ตอนเกิดรัฐปนะหาร 22 พฤษภาคม

เขาบอกว่าที่ทหารขังเเราไว้นี่คือคุกทหาร นครปฐม ไม่ห่างจากกรุงเทพฯ นัก ผมเลยถึงบางอ้อว่า มิน่ารถบรรทุกที่พามา ถึงไม่ได้ใช้เวลานานมากนัก

นอกจากหมอเหวงแล้วก็มีแกนนำนปช.และคณะโดนจับมาก่อนหน้าเราราว 20 ราย ตั้งแต่วันเกิดเหตุรัฐประหาร...หมอเหวงคอยขับร้องเพลงแสงดาวแห่งศรัทธาอยู่ทั้งกลางวัน กลางคืน และชวนเราร้องไปด้วย

"ไม่รู้อาจารย์ธิดา เมียผมเป็นไงบ้าง.." เขาถามข้ามห้องมา ผมเลยว่า ก่อนผมถูกจับมาได้อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ว่าหมอสลักธรรม ลูกชายของหมอเหวงไปเยี่ยมอาจารย์ธิดาที่ถูกควบคุมตัวไว้ที่กาญจนบุรี สุขภาพดี หายห่วงได้...แกเลยบรรเลงเพลงแสงดาวแห่งศรัทธาด้วยความปรีดากว่าเดิม

มาถึงวันที่ 27 พฤษภาคม ผมกับคณะมาอยู่คุกทหารครบ 2 วัน ส่วนหมอเหวงกับคณะอยู่มาครบ 7 วันตามอัตราที่กำหนดไว้ว่า จะควบคุมตัวได้ไม่เกินนี้ กรุ๊ปของหมอเหวงเลยโดนปล่อยตัวกลับบ้านไป

นายทหารยศพันตรี ผู้บัญชาการคุกทหารแห่งนี้ ผ่อนคลายความเข้มงวดลง ด้วยการปล่อยเราจากห้องขังให้มีเสรีลงไปเดินเล่นแถวกองบก.ได้บ้าง และให้ความหวังว่าเมื่อเราอยู่ครบ 7 วันในวันที่ 31 พฤษภาคม ก็จะได้กลับบ้านแบบเดียวกับคณะหมอเหวง

"แต่มีบางคนที่จะต้องไปต่อที่ใหม่..." เขาพูด โดยไม่มองหน้าใคร ทำให้สาวเจ้าของเวปไซต์ถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความขวัญเสีย...ผมบอกเธอว่า ไม่หรอก ใน 3 คนนี้ คุณ 2 คนจะได้กลับบ้าน ผมจะได้ไปต่อ

ผมเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงภรรยา แจ้งเธอว่าหากในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ ซึ่งครบ 7 วันของการควบคุมตัวตามกฎหมายของคณะรัฐประหาร ไม่เห็นผมกลับบ้าน ผมคงจะได้อยู่ต่อที่นี่ หรือไปต่อที่อื่น อาจจะ 5 หรือ 10 หรือ 20 ปี แต่ในที่สุดแล้ว ผมเชื่อว่าไม่ควรเกิน 2 ปี เราจะได้พบกัน

ผมฝากจดหมายฉบับนั้นไปกับหนุ่มร่วมห้องขังคุกทหาร

และเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมมาถึง รถบรรทุกคุกทหารพาเราบ่ายหน้าไปกรุงเทพฯ เพื่อนร่วมชะตากรรม 2 รายถูกปล่อยตัวลงข้างทางที่เรียกแท็กซี่ได้ง่ายสะดวก ส่วนผมได้สิทธิ์ไปต่อ

"ผมรู้ดีว่าเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้น ผมเตรียมตัวเตรียมใจเผชิญกับมัน ถ้าถามว่าหากย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะทำเรื่องนี้ไหม? เมื่อต้องเสี่ยงภัยอย่างนี้ แน่นอน ผมยังต้องทำ และอาจต้องทำมากกว่านี้...ผมขออภัยขอโทษคุณจริงๆ ที่ไม่เคยบอกกล่าวคุณเลย" เนื้อความในจดหมายบางตอน และว่า "ได้โปรดอย่าได้บอกเรื่องนี้กับแม่ของผม อีกไม่นานผมก็จะได้กลับบ้าน เพียงแต่ยังไม่ใช่เวลานี้"

รถบรรทุกทหารวิ่งต่อไป โดยเป็นธรรมเนียมที่ผมรู้แล้วว่า รถทหารนั้นจะไม่มีวันบอกคุณหรือใคร ว่ามันกำลังจะพาคุณไปที่ไหน...!?