วันพุธ, พฤษภาคม 17, 2560

ขู่จัดการเฟชบุ๊ค ปรากฏการณ์ ‘Streisand effect’ ‘ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ’

บางกอกโพสต์เรียก ‘backfires’ แปลเป็นไทยสไตล์กีฬายิงปืนว่า ‘ถีบกลับ’ หรือแรงสะท้อนถอยหลัง แต่ อจ.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อธิบายว่ามันก็คือ ‘ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ’ นั่นเอง

เขาพูดกันถึงปรากฏการณ์ ‘Streisand effect’ ผลกระทบจากการที่ กสทช. ดันขู่เฟชบุ๊คออกสื่อเอาไว้ว่า ถ้าไม่ถอดโพสต์ต้องหาผิดกฎหมายไทยที่ยังเหลืออยู่อีก ๑๓๑ รายการ ส่วนใหญ่ฐานหมิ่นกษัตริย์ รวมทั้งคลิป ‘crop top’ เดินเที่ยวมอล กินไอติมกับอีหนู ออกภายในวันที่ ๑๖ พ.ค. ละก็จะดำเนินการแจ้งความ

ผลก็คือคลิป ‘crop top’ นั้นที่เคยเห็นกันในแวดวงการเมืองไทยฮ้าร์ดคอร์ไม่เท่าไหร่ กลับมีคนขวนขวายหาดูกันจนถ้วนทั่วแล้วมั้ง ทั้งสลิ่ม ทั้งไทยเฉย เพราะสื่อต่างประเทศนำไปโพสต์ประกอบข่าวกันจ้าละหวั่น

นั่นละคือผลกระทบแบบที่ บาบาร่า สไตรแซนด์ เจอหลังจากที่เธอฟ้องร้อง pictopia.com นำภาพหน้าผาชายฝั่งมหาสมุทรตรงจุดที่มีคฤหาสน์ของเธอตั้งอยู่ โพสต์ไว้บนเว็บไซ้ท์สาธารณะ

“ปรากฏว่า จากเดิมที่แทบไม่มีใครสนใจ มีคนเข้าไปดูแค่ ๖ คนก่อนมีคดี (๒ คนเป็นทนายของสไตรเซนด์เอง) ผู้คนกลับแห่กันเข้าไปดูกว่า ๔ แสนคนในเวลาแค่เดือนเดียว และเว็บอื่นยังก๊อบรูปไปแพร่ต่ออีกเยอะแยะ

นักจิตวิทยาอธิบายว่า ข้อมูลที่ไม่มีใครสนใจเลย แล้วมีคนไปตะโกนห้าม ผู้คนจะยิ่งอยากรู้ อยากดู ยิ่งดิ้นรนไขว่คว้าหามาดูให้จงได้ คนไทยเรียกว่ายิ่งห้าม เหมือนยิ่งยุ”

กรณี กสทช. ขู่เฟชบุ๊คเช่นกัน ครั้นเวลาสิบโมงเช้าวันที่ ๑๖ ผ่านไปหนึ่งนาฑี ก็มีโพสต์บนทวิตเตอร์ ตามด้วยทวี้ตซ้ำทั่วอินเตอร์เน็ตว่า พ้นเส้นตายแล้วเฟชบุ๊คยังไม่ถูกปิด

สื่อต่างประเทศหลายแห่งเสนอรายละเอียดลึกล้ำ เกี่ยวเนื่องกับคลิปเจ้ากรรมนายเวรดังกล่าว(สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล รวบรวมลิ้งค์สื่อเหล่านั้นได้ ๑๑ แห่ง)

เสร็จแล้วเป็นไง นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาฯ กสทช. ที่ขู่เอง ต้องออกมาแก้เอง “ประเทศไทยไม่เคยมีแผนที่จะบล็อคเฟชบุ๊คในตอนนี้แต่อย่างใด” เขาตอบข้อซักถามของสำนักข่าวรอยเตอร์

เขาอ้างว่าความล่าล้าในระบบราชการทำให้ยังไม่สามารถถอดเพจที่มีเนื้อหาหมิ่นฯ เหล่านั้นออกจากอินเตอร์เน็ตได้ “ตอนนี้เรามีหมายศาลเป็นคำสั่งบล้อคเพียงแค่ ๓๔ ยูอาร์แอล”

(http://uk.mobile.reuters.com/article/idUKKCN18C06Z)

ผลก็คือเลขาฯ กสทช.แค่หน้าม้าน แต่ คสช. หน้าแตก คงเย็บติดน่ะนะ แต่ต้องเหลือแผลเป็นค้างคา ทว่าต้นสายให้เกิดการพยายามปิดกั้นห้ามดูนั่นสิ ‘หน้านิ่วคิ้วขมวด’ จะมีใครเป็นไข้ โลหิตเป็นพิษอีกไหมไม่รู้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อำนาจเบ็ดเสร็จใช้ได้กับสาวกและลิ่วล้อที่เทิดทูนและยอมสยบต่ออำนาจแบบนี้เท่านั้น

ดูจากการระเบิดห้างสรรพสินค้าที่ปาตานี ตอนนี้ขยับมาถึงสนามหลวงแล้ว ระเบิดสองลูกหน้าโรงละครแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๕ พ.ค. จะเป็นด้วยน้ำมือของกลุ่มเดียวกัน หรือต่างกลุ่มแต่มุ่งหมายเหมือนกันก็สุดแท้แต่

“เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงให้น้ำหนักไปที่กลุ่มป่วนใต้ขยายพื้นที่ปฏิบัติการ...

ข้อมูลที่น่าตกใจและถูกผู้มีอำนาจสั่งไม่ให้เป็นข่าวก็คือ ระเบิดแสวงเครื่องที่ใช้ป่วนเมือง ๒ ครั้งหลังสุด มีการต่อวงจรและอุปกรณ์แบบเดียวกับที่ใช้ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้...

รูปแบบของระเบิดที่ใช้ บวกกับเศษซากท่อพีวีซี หากไม่ใช่ท่อที่ใช้ยึดป้ายที่แตกกระจายเพราะแรงอัดระเบิด ก็น่าเชื่อว่าเป็น ‘ไปป์บอมบ์’ แบบเดียวกับที่เกิดระเบิดหน้ากองสลากเก่า เมื่อค่ำวันที่ ๕ เม.ย.๖๐ ก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญเพียง ๑ วัน” ข่าวอิศรารายงาน

(https://www.isranews.org/south-…/scoop/56297-real-56297.html)

แต่ว่าก่อนหน้านี้ทั่นผู้บัญชาการนครบาล ‘ไทยเบพ’ ปล่อยไก่ไปแล้วค่อนเล้า “พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น.ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าพื้นที่ตรวจสอบ

กล่าวว่าเบื้องต้นไม่พบเขม่า ดินปืน หรือส่วนประกอบใดๆ จากเสียงดังดังกล่าวยืนยันส่วนตัวไม่ใช่ระเบิด ประทัดยักษ์ คาดอาจเป็นการแตกของท่อ”

รายนี้หน้าอาจไม่แตกแต่หน้า แก้วเบียร์ (ช้าง) จะแตกตามไปด้วย ก็ยังไม่เท่า คสช. อีกนั่นแหละ เพราะมันย้ำว่าปัญหาก่อการร้ายภาคใต้สมัยนี้ไม่จำกัดอยู่แต่ที่สามจังหวัดติดชายแดนมาเลย์เซียอีกต่อไป มันขึ้นมาสุราษฎร์ หัวหิน แยกคอกวัว และบัดนี้สนามหลวง

นายหัวชวน หลีกภัย อาจจะโทษว่าสมัยทักษิณก่อเหตุกรือแซะ ตากใบเอาไว้ ทำให้ขบวนการใต้ไม่หายแค้น

หากแต่หลังจากยึดอำนาจโค่นทักษิณไปแล้ว ขบวนการป่วนใต้ในรัฐบาลต่อๆ มา ถึงจะไม่สงบก็ยังมาไม่ถึงใจกลางเกาะรัตนโกสินทร์ เหมือนตอนสามปีที่ คสช.ครองเมืองนี่แหละ